โตโยต้า แคมรี่ รถยนต์ทรงหรูหราแบบยุโรป แต่ราคาแบบรถญี่ปุ่น ที่ยังคงได้รับความนิยมเสมอๆ ในกลุ่มคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีนวัตกรรมยานยนต์ล้ำสมัย เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดีและตรงตามความต้องการของลูกค้า ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมเหนือใคร จากสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA ที่ช่วยผสานยนตรกรรมกับผู้ขับขี่ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย และระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกของรถโตโยต้า ให้ความมั่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เหนือความคาดหมาย สามารถขับไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะทางราบเรียบ หรือ ทางขึ้นเขาลงห้วย ก็ตามแต่ ซึ่งหลังจากที่ได้ แคมรี่ มือสอง ด้วยแล้ว เราก็อยากออกไปเดินทางตามที่คุณวาดฝัน ลองดูว่า จะไปที่ไหนดี ที่ให้คุณประทับใจกับรถยนต์มือสองของ CHATCHAI CAR ลองตามกันไปดูเลย

1. จ.บุรีรัมย์

มาที่จังหวัดแรกเลย ที่น่าจะขับ แคมรี่ มือสอง ได้ได้ง่ายมากๆ  ก็ต้องให้จังหวัดนี้ ซึ่งที่มีอีเวนท์อะไรๆ ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันรถยนต์ หรือ มอเตอร์ไซค์ทางเรียบ ในสนามที่ว่ากันว่าเป็นสนามแข่งรถ มาตรฐานระดับโลก FIA กับ FIM อย่าง “ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต” หากคุณโชคดีไปตอนที่มีการแข่งขันมอเตอร์สฟอร์ต ก็ได้เพลิดเพลินกับอีเวนท์นี้ได้เลย หรือไม่ก็ หากคุณเป็นชอบดูฟุตบอล ด้วยแล้ว ก็มีสนาม “ช้าง อารีนา” สนามสุดอลังการของสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมที่มีชื่อเสียงทีมหนึ่งของไทย ที่สามารถให้คุณไปเช็คอินได้ พร้อมทั้งมีร้านขายของที่ระลึกให้ซื้อติดไม้ติดมือ รวมไปถึงมี ช็อปปิ้งมอลล์ ให้คุณชิลๆ ได้ อย่าง BURIRAM CASTLE ด้านหลังสนาม ช้าง อารีนา

หากจะออกนอกเมือง จะไปไหนละ ก็มีให้คุณเช็คอินเช่นกัน โดยเฉพาะ วนอุทยานเขากระโดง ที่เคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน ซึ่งจะได้เห็นปากปล่องภูเขาไฟได้เต็มตา พร้อมกับจะกราบไหว้นมัสการ “พระสุภัทรบพิตร” สิ่งคู่บ้านคู่เมืองบุรีรัมย์ ที่ให้ความนับถือเป็นอย่างมาก และที่ที่คุณต้องแวะ ก็หนีไม่พ้น “ปราสาทหินพนมรุ้ง” ปราสาทหินทรายสีชมพู ที่เป็นแลนด์มาร์คของจังหวัดที่ใครๆ ต้องแวะมาให้ได้ พร้อมด้วย ปราสาทเมืองต่ำ บุรีรัมย์ ที่มีความสวยงามไม่แพ้ พนมรุ้ง เลยทีเดียว

2. จ.ลำปาง

ลองขยับไปทางเหนือบ้าง ด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ของ รถแคมรี่ มือสอง สามารถเดินทางได้อย่างชิลๆ โดยตัวจังหวัดนี้มีที่น่าแวะทั่วทุกทิศของจังหวัด เป็นแหล่งอารยธรรมล้านนาไทย ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าจังหวัดอื่นใดในภาคเหนือ เอกลักษณ์อันโดดเด่นสร้างความประทับใจให้ผู้ไปเยือนคือ วัดวาอารามบ้านเรือน ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า, รถม้า ที่หาไม่ได้อีกแล้ว, เครื่องปั้นดินเผา อย่าง ถ้วยก๋าไก่ และ ผู้คนที่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายโอบอ้อมอารี ที่พร้อมให้คุณแวะมาบ้าง สักครั้ง ไม่ว่าจะเป็น วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดเก่าแก่ที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองลำปางมาช้านาน เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย หรือ ไปชมความงามของ พระใหญ่ไดบุตซึ ที่หลุดมาจาก ญี่ปุ่น เป๊ะๆ ณ วัดพระธาตุดอยพระฌาน

สายช็อปปิ้ง ก็มีให้เลือกเช่นกัน ทั้ง กาดทุ่งเกวียน ศูนย์รวมอาหารพื้นเมืองไม่ว่าจะเป็น แค็ปหมู น้ำพริกหนุ่ม ซึ่งมีรสชาติอร่อยถูกใจใครหลายๆ คนอย่างต่อเนื่อง สินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านจากฝีมืออันประณีต และ กาดกองต้า ถนนคนเดินใจกลางเมืองลำปาง ที่ได้รับความนิยมไม่น้อย จะได้เห็น บ้านเก่า-เรือนแถวโบราณ และ อาคารพาณิชย์สุดคลาสิก กว่าสิบหลังคาเรือนตลอดถนนที่มีความยาวหนึ่งกิโลเมตรนี้ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนต่างถิ่นที่มาเยือนมาก สามารถเดินลัดเลาะเที่ยวชมได้สบายๆ ซึ่งจะได้เห็นทั้งสถาปัตยกรรมแบบไทยภาคกลาง, ไทยล้านนา, พม่า, จีน และ ยุโรป

3. จ.สุโขทัย

จังหวัดที่เป็นปฐมบทของชนชาติสยาม และได้อักษรไทยใช้งานก็มาจากดินแดนแห่งนี้ โดยในตัวจังหวัด เต็มไปด้วย แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญอีกแห่งของประเทศไทย ซึ่งมีร่องรอยของอดีตหลงเหลือให้เห็นอยู่หลายพื้นที่ นอกจากนั้น ยังมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามหลากหลายรูปแบบให้ออกเดินทางตามหา แล้วจะค้นพบเสน่ห์ที่ยากจะลืมเลือนของเมืองเก่าแห่งนี้ โดยเฉพาะ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เต็มไปด้วยโบราณสถานสำคัญ เช่น ประตูเมือง / กำแพงเมือง / คูเมือง / พระราชวัง / ศาสนสถานโบราณ และ วัดวาอาราม ยังเหลือร่องรอยอดีตให้เราได้ยล มากมาย นอกจากนี้ ยังมีอีกแห่ง ก็คือ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ริมแม่น้ำยม ที่มีความสำคัญไม่แพ้ของตัวเมืองสุโขทัย

หากชอบชมวิถีชีวิตบ้านๆ ก็ไปได้ที่ ตลาดริมยม ชุมชนเก่าแก่ในจังหวัดสุโขทัย แต่เดิมเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ ชาวบ้านอาศัยอยู่ในแพและมีอาชีพทำประมง ปลาที่เหลือจากขายและบริโภคก็จะนำมาแปรรูปเก็บไว้กินตลอดทั้งปี หากอยากไปเที่ยวชมวิถีไทยแบบเดิมๆ ก็สามารถนั่งรถคอกหมูซึ่งเป็นรถโดยสารแบบโบราณที่ชาวกงยังใช้เดินทางไปไหนมาไหนกันอยู่ไปได้เลย ไม่ว่าจะแวะไหว้หลวงพ่อโตวิหารลอยที่ชาวกง เคารพศรัทธา ชิมขนมผิงป้าติ๋มเจ้าดังที่ขายดีจนต้องแง้มประตูขายเพราะกลัวคนมาซื้อเยอะแล้วทำไม่ไหวด้วยขั้นตอนการผลิตยังทำด้วยมือแบบเดิมๆ ทุกขั้นตอน นอกจากนั้นยังมีสินค้าโอทอปขึ้นชื่อให้ซื้อกลับบ้านหลายอย่างเลย หรือ จะชมพิพิธภัณฑ์มีชีวิตกลางสายน้ำซึ่งสื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวกงที่อาศัยอยู่สองฟากฝั่งลุ่มน้ำยม ก็ได้

4. จ.สุราษฎร์ธานี

มาลงใต้กันบ้าง ขอแนะนำไปที่จังหวัดนี้ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และเป็นจุดไข่แดงของแดนปักษ์ใต้ ที่ต้องผ่านทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยท้องทะเลอันสวยงามในแดนใต้ ที่ทำให้คุณผ่อนคลายจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็น เขื่อนรัชชประภา เขื่อนใหญ่ทางภาคใต้ตอนบน ติดกับ อุทยานแห่งชาติเขาสก มีธรรมชาติที่งดงาม และสงบร่มรื่น, ป่าต้นน้ำ-บ้านน้ำราด สถานที่ที่เป็น Unseen สุราษฎร์ธานี รวมไปถึง สะพานแขวนเขาพัง สะพานแขวนขนาดไม่ใหญ่มาก พาดผ่านแม่น้ำสายเล็กๆ และที่สำคัญคือ สามารถมองเห็น ภูเขารูปหัวใจ จากบนสะพานได้อีกด้วย

หากชอบแนวทะเลๆ ก็มีให้คุณไปเช่นกัน โดยเฉพาะ เกาะสมุย แลนด์มาร์คที่มาสุราษฏร์แล้ว ต้องไปให้ได้ หากไม่ได้ไป ถือว่ามาไม่ถึงอย่างแท้จริง โดยคุณสามารถนำรถยนต์ แคมรี่ มือสอง ของคุณเอง บรรทุกด้วยเรือเฟอร์รี่ ข้ามไปยังเกาะสมุยได้เลย คุณจะได้พักชิลๆ ตากอากาศ รับลมทะเลอย่างเต็มปอด ไม่ว่าจะเป็น หาดเฉวง รวมไปถึงมีสถานที่ยอดฮิต ที่นักท่องเที่ยวต้องไปถ่ายรูปอย่าง หินตาหินยาย เป็นต้น

5. จ.หนองคาย

มาถึงจังหวัดสุดท้ายแล้ว ก็เอาให้สุดเลย โดยจะมุ่งหน้าไปยังจังหวัดริมแม่น้ำโขง ที่เป็นที่นิยมเสมอมา อย่าง หนองคาย ที่มีชื่อเสียงในเรื่องพญานาค ทั้งประเพณีบุญบั้งไฟอันโด่งดัง สถานที่ท่องเที่ยวตำนานความเชื่อพญานาคอันศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ความอัศจรรย์ของเกาะแก่งกลางน้ำโขง เป็นจังหวัดที่สร้างความสุขผ่อนคลาย อิ่มบุญ อิ่มใจ เมื่อได้มาเยือน ซึ่งหากอยากเห็นประเทศเพื่อนบ้านเต็มตา ให้มาที่ ลานพญานาคคู่ แลนด์มาร์คของเมืองหนองคาย ที่ยามเย็น สามารถมานั่งกินจิ้มจุ่มริมโขงได้เลย จะเป็นอะไรที่โรแมนติกมากๆ

นอกจากนี้ หากไม่มาที่นี่ ถือว่า ฟาล์วมากๆ นั่นก็คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งแรก ที่สร้างขึ้นเพื่อเดินทางไปมา ระหว่าง 2 ประเทศ เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2537 นับว่าเป็นสะพานที่สร้างความสัมพันธ์ไทย-ลาว ให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สะพานเปิดเวลา 05.00-20.00 น. นักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการเดินทางจากหนองคายไปเวียงจันทน์จำเป็นต้องใช้สะพานแห่ง มีช่องสำหรับเดินรถ 2 ช่องทาง อย่างไรแล้ว คุณควรเอา หนังสือเดินทาง เอาไปด้วยเลย หากเป็นไปได้ เพราะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำ Boarding Pass ในตัวจังหวัดหนองคายเอง